วันเสาร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2553

วันศุกร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2553

ส้มตำ

ส้มตำ เป็นอาหารคาวของไทยอย่างหนึ่ง มีต้นกำเนิดไม่แน่ชัดโดยน่าจะมาจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ของไทยและ ประเทศลาว ส่วนมากจะทำโดยนำมะละกอดิบที่ขูดเป็นเส้น มาตำในครกกับ มะเขือเทศลูกเล็ก ถั่วลิสงคั่ว กุ้งแห้ง พริก และกระเทียม ปรุงรสด้วยน้ำตาลปี๊บ น้ำปลา ปูดองหรือปลาร้า ให้มีรสเปรี้ยว เผ็ด และออกเค็มเล็กน้อย นิยมกินกับข้าวเหนียวและไก่ย่าง โดยมีผักสด เช่น กะหล่ำปลี หรือถั่วฝักยาว เป็นเครื่องเคียง
ร้านที่ขายส้มตำ มักจะมีอาหารอีสานอย่างอื่นขายร่วมด้วย เช่น ซุปหน่อไม้ ลาบ ก้อย น้ำตก ไก่ย่าง ข้าวเหนียว เป็นต้น
ยังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดว่ามีการนำมะละกอดิบมาปรุงเป็นส้มตำเป็นครั้งแรกเมื่อใด อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาถึงที่มาของส่วนประกอบต่างๆ ของส้มตำ อาจได้ข้อมูลเบื้องต้นเพื่อประกอบการสันนิษฐานถึงที่มาของส้มตำได้
มะละกอเป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดในอเมริกากลางและถูกนำเข้ามาปลูกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยชาวสเปนและโปรตุเกส ในยุคต้นของกรุงศรีอยุธยา ในขณะที่พริกอาจถูกนำเข้ามาเผยแพร่โดยชาวฮอลันดาในช่วงเวลาต่อมา
ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช มีทูตชาวฝรั่งเศสผู้มาเยือนกรุงศรีอยุธยา คือ นิโคลาส์ แชรแวส และ เดอ ลาลูแบร์ ต่างได้พรรณาว่าในเวลานั้นมะละกอได้กลายเป็นพืชพื้นเมืองชนิดหนึ่งของสยามไปแล้ว[1] และได้กล่าวถึง กระเทียม มะนาว มะม่วง กุ้งแห้ง ปลาร้า ปลากรอบ กล้วย น้ำตาล แตงกวา พริกไทย ถั่วชนิดต่างๆ ที่ล้วนสามารถใช้เป็นส่วนประกอบสำหรับปรุงส้มตำได้ ขณะเดียวกันได้เขียนว่า ในขณะนั้นสยามไม่มี กะหล่ำปลี และ ชาวสยามนิยมบริโภคข้าวสวย อย่างไรก็ตามไม่มีการกล่าวถึง มะเขือเทศ และ พริกสด แต่อย่างใด
ในปัจจุบัน ส้มตำเป็นอาหารที่แพร่หลายและนิยมรับประทานทุกภาคของประเทศไทย และยังเป็นอาหารไทยที่ขึ้นหน้าขึ้นตาต่อชาวโลกอีกด้วย[แก้] ส้มตำแบบต่างๆ
ส้มตำไทย ไม่ใส่ปูและปลาร้า แต่ใส่กุ้งแห้งและถั่วลิสงคั่วแทน รสชาติออกหวานและเปรี้ยวนำ บางถิ่นอาจใส่ปูดองเค็มด้วย เรียกว่า ส้มตำไทยใส่ปู
ส้มตำปู ใส่ปูเค็มแทนกุ้งแห้งและถั่วลิสงคั่ว รสชาติออกเค็มนำ
ส้มตำปลาร้า ใส่ปลาร้าแทนกุ้งแห้ง นิยมรับประทานกันมากในภาคอีสาน
ตำซั่ว ใส่ทั้งเส้นขนมจีนและเส้นมะละกอ นิยมรับประทานกันมากในภาคอีสาน
ตำป่า ใส่ผักหลายชนิด เช่น ผักกระเฉด ผักกาดดอง ปลากรอบ ถั่วลิสง ถั่วงอก ถั่วฝักยาว รวมถึงหอยแมลงภู่ จะนิยมรับประทานในภาคอีสาน
ตำโคราช ใส่เครื่องปรุงผสมระหว่างส้มตำไทยและส้มตำปลาร้า คือใส่ทั้งกุ้งและปลาร้า
ส้มตำไข่เค็ม ใส่เครื่องปรุงผสมระหว่างส้มตำไทยและไข่เค็ม ไม่ใส่ปูดอง ทำให้ส้มตำมีน้ำข้น รสชาติกลมกล่อมพอดี เหมาะกับผู้ที่ไม่ชอบส้มตำเผ็ดจัด
นอกจากนี้ ยังมีบางที่ นำเอาผักหรือผลไม้ดิบ อย่างเช่น มะม่วงดิบ ใส่แทนมะละกอดิบ เรียกว่า "ตำมะม่วง," กล้วยดิบ เรียกว่า "ตำกล้วย," แตงกวา เรียกว่า "ตำแตง," ถั่วฝักยาว เรียกว่า "ตำถั่ว," และแครอทดิบ เป็นต้น ถ้าใช้ผลไม้หลายๆ อย่างเรียกว่า ตำผลไม้
นอกจากนี้ยังมีการใส่วัตถุดิบอย่างอื่นลงไป เช่น ใส่ปูม้าเรียกว่า ส้มตำปูม้า ใส่หอยดองเรียกว่า ส้มตำหอยดอง

อาหารเกาหลี

อาหารเกาหลีเป็นอาหารที่คนไทยส่วนใหญ่นิยมกันมาก และร้านอาหารเกาหลีในเมืองไทยหายๆคนก็น่าจะรู้จักกันดี แต่วันนี้เรามีร้านอาหารเกาหลี ที่อร่อยๆ อาหารน่ากินมาให้ได้ชมกัน มีทั้งในเมืองไทยและในเกาหลีเลยค่ะ

กิน "อาหารเกาหลี" ตามรอยจอมนางแห่งวังหลวง
ใครจะเชื่อว่าในกรุงเทพฯ มีร้านอาหารเกาหลีอยู่ประมาณ 70-80 ร้าน สมัยที่สยามสแควร์คึกคัก นึกไม่ออกก็ไปที่ร้าน โคเรียน่า ซอย 7 ถ้าแถวสีลมก็ต้องไปที่ร้าน อรีรัง หรือร้าน มวงดอง สีลมซอย 6 ปัจจุบันร้านอาหารเกาหลีส่วนใหญ่อยู่บริเวณถนนสุขุมวิทและใกล้เคียง ตามตรอกซอกซอยต่าง ๆ สาเหตุอาจจะเพราะเป็นย่านชุมชนของคนเกาหลีอาศัยอยู่หนาแน่น อาหารเกาหลีในโรงแรมที่ได้รับการยอมรับและมีชื่อเสียงที่สุดคือ ห้องอาหาร กองจู (Kongju) ชั้น 2 โรงแรมปทุมวัน ปริ๊นเซส ตรงมาบุญครอง กองจู หมายถึง เจ้าหญิง เมนูเด็ดของเขามีหลายอย่าง โดยเฉพาะเมนูแดจังกึมที่ลูกค้าสั่งกันมากคือ กู เชิน ปุน คล้าย ๆ กับเปาะเปี๊ยะของจีน และ เนงเมียว หรือก๋วยเตี๋ยวเย็น นอกนั้นก็ยังมี บาร์บีคิว หรือประเภทปิ้ง ย่าง เนื้อสัตว์ต่าง ๆ รวมทั้งซีฟู้ด ซึ่งท่านสามารถย่างบนโต๊ะนั่นเอง ซุปไก่ตุ๋นโสม ใช้ไก่ทั้งตัวตุ๋นกับโสมเกาหลีและอื่น ๆ ในหม้อเบ้อเริ่ม ต้องแบ่งกัน 3-4 คน ซดร้อน ๆ ในช่วงหน้านี้ดีมาก เป็นต้น โทร.0-2216-3700 +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ร้านต่อมาชื่อ โซ รา บอล (So Ra Bol) อยู่ในซอยอรรถกวี 1 หรือสุขุมวิท 20 ร้านนี้คุณป้าเจ้าของเป็นมืออาชีพจริง ๆ มีประสบการณ์ร้านอาหารเกาหลีในเมืองไทยมากว่า 25 ปี เริ่มจากพัทยา ก่อนจะย้ายมาอยู่ในซอยสุขุมวิท 26 เข้าไปเกือบสุดซอยจนเกือบถึงพระราม 4 อยู่ติดกับสนามไดรฟ์กอล์ฟ ในปัจจุบัน เปิดทุกวัน 10 โมงเช้าจนถึง 4 ทุ่ม โทร.0-2204-1204 เมนูของร้านนี้มีครบครันตามสไตล์เกาหลี โดยเฉพาะประเภทบาร์บีคิวดีมาก แต่เมนูเด็ดที่ลูกค้าชอบกันมากคือ ซัม เค ทัง หรือไก่ตุ๋นโสมเกาหลี ทำได้หอมหวนชวนกินที่สุด พนักงานบอกว่าซดร้อน ๆ ในช่วงหน้าหนาวนี้จะดีต่อสุขภาพมาก จานต่อมาชื่อ พูลโกกิ เนื้อหมักซอสเกาหลี สุดท้ายอย่าลืมสั่ง ก๋วยเตี๋ยวเกาหลี หรือทอก กุก เป็นก๋วยเตี๋ยวที่โปะหน้ามาด้วยเนื้อ กิมจิ และหอมหัวใหญ่ซอย เป็นต้น ที่สำคัญเป็นเมนูที่คนเกาหลีบอกว่าจะช่วยยืดอายุของคนกินไปอีก 11 ปี เป็นจานพิเศษที่ทางร้านเตรียมไว้สำหรับปีใหม่นี้ +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++อย่างไรก็ตาม สถานที่ที่เป็นศูนย์รวมของร้านอาหารเกาหลี ประเภทที่ว่าไปที่เดียวสามารถเลือกได้หลายร้านคือ สุขุมวิท พลาซ่า ตรงนี้รู้จักกันในนาม โคเรียน ทาวน์ (Korean Town) ซึ่งจะอยู่ใกล้กับปากซอยสุขุมวิท 12 เข้าไปในตึกนี้เหมือนเดินอยู่ในกรุงโซล เพราะชาวเกาหลีและอะไรที่เกี่ยวกับเกาหลีเต็มไปหมด เช่นร้านอาหารเกาหลีนับสิบร้าน ร้านคาราโอเกะเกาหลี และร้านจึ๋งนึง หรือร้านขายหนังสือและเช่าวิดีโอ เป็นต้น ส่วนท่านที่จะไปลิ้มลองรสชาติอาหารเกาหลีก็ไม่ต้องกลัวเพราะแม้เจ้าของร้านจะเป็นคนเกาหลีแต่พูดไทยได้ พนักงานส่วนใหญ่คนไทย และเมนูก็มีภาษาไทยด้วย +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ร้านแรก กวาน ฮัน รู (Kwan Han Ru) อยู่ชั้น 1 สุขุมวิท พลาซ่า เปิดทุกวัน (ปิดวันอังคารที่สองของทุกเดือน) เวลา 10 โมงเช้าจนถึง 5 ทุ่ม โทร.0-2251-8096 ร้านนี้เปิดมาได้ประมาณ 9 ปีกว่า มีลูกค้าประจำเป็นดารา นักแสดง นางแบบ นายแบบหลายคน เมนูเด็ดของร้าน กวาน ฮัน รู คือ บาร์บีคิว หรือปิ้งย่าง และหม้อไฟ โดยเฉพาะบาร์บีคิวมี 2 สูตรเด็ด คือ การหมักเนื้อสำหรับทำบาร์บีคิวนั้นนุ่มเนียนหอมกรุ่นสุดยอดมาก และน้ำจิ้มที่กลมกล่อม เข้ากับเนื้อย่างดี ใครไม่กินเนื้อก็มีปลาย่างให้เลือกหลายอย่าง จานเด็ดอีกอย่าง คือ ปู เต จิ เก หรือ จิ้มจุ่มเกาหลี ซึ่งเป็นสูตรดั้งเดิมตั้งแต่สงครามเกาหลี ช่วงนั้นคนเกาหลีขาดแคลนอาหาร แต่ก็แอบได้อาหารจากแคมป์ทหารสหรัฐ เช่น แฮม เนื้อ ไส้กรอก และถั่วกระป๋อง จึงนำทั้งหมดมาต้มกับพริกเกาหลี กิมจิ เห็ด เส้นก๋วยเตี๋ยว และผักต่าง ๆ รสชาติที่ออกมาจะเผ็ดนิด ๆ ถ้าไม่กินเนื้ออาจจะสั่ง แกม จาตัง สตูว์หมูต้มกับมันฝรั่ง เสิร์ฟบนหม้ออุ่นเพื่อให้ร้อนตลอดเวลาก็ได้ +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ร้านต่อมาชื่อ ดู แร (Doo Rae) เป็นอีกร้านหนึ่งที่ไม่ควรพลาด เปิดมาประมาณ 7 ปีเศษ ลูกค้ายังเหนียวแน่น และส่วนใหญ่เป็นคนเกาหลีและญี่ปุ่น พนักงานบอกว่าเมื่อ แดจังกึม ออกอากาศ ก็มีลูกค้าคนไทยเพิ่มขึ้น ร้านอยู่ชั้น 1 โคเรียน ทาวน์ เปิดบริการทุกวัน (ยกเว้นวันจันทร์ที่สองของเดือน) เวลาประมาณ 10 โมงเช้าครึ่งเรื่อยไปจนถึง 4 ทุ่มเศษ โทร.0-2653-3815 เมนูของร้านนี้เป็นอาหารเกาหลีแท้ ๆ ที่สำคัญมี กิมจิ ให้กินเยอะมาก เมนูยอดฮิต คือ ก๋วยเตี๋ยวเย็น หรือ ชิค เนง เมียว มีทั้งแห้งและน้ำ โปะหน้าด้วยเนื้อ จานต่อมาชื่อ ริ คอม ตัง หรือซุปหางวัว ที่หอมหวนซดแล้วชื่นใจ แต่ที่ไม่กินถือว่ามาไม่ถึงร้านนี้คือ พิบิมพับ หรือข้าวยำเกาหลี ร้านนี้ทำได้อร่อยกว่าหลายร้านที่เคยกินมา ถ้าคะแนนเต็ม 100 จะให้เขาสัก 95 ถามชาวเกาหลีโต๊ะข้าง ๆ บอกว่าสุดยอด จานนี้ควรสั่งมากินกับ หมูหมักซี่โครง สำหรับคนที่ไม่กินเนื้อ สุดท้าย ซัมเกทัง ไก่ต้มโสมก็ไม่เลว

วันพุธที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2553

ปลูกป่า

โครงการปลูกป่าถาวรเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองราชย์ ปีที่ 50


ความเป็นมา l พื้นที่ดำเนินการ


ความเป็นมา โครงการปลูกป่าถาวรเฉลิพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสทรงครองราชย์ ปีที่ 50เกิดขึ้นด้วยพระราชเสาวนีย์ของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินาถ เมื่อวันที่ 26 ธัวาคม พ.ศ.2535 ให้หามาตรการหยุดยั้งการทำลายป่าและเร่งฟื้นฟูสภาพต้นน้ำ ลำธาร โดยทรงโปรดให้พิจารณาปัญหาการขาดแคลนน้ำซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ของชาติที่จะต้องเร่งแก้ไขโดยด่วนที่สุด รัฐบาลได้อัญเชิญพระราชกระแสของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ มาเป็นแนวทางในการดำเนินการฟื้นฟูสภาพป่าไม้ ซึ่งเป็นเขตป่าอนุรักษ์ที่เสื่อมสภาพโดยเร่งด่วน ดังนั้นจึงได้ขัดทำโครงการปลูกป่าถาวรเฉลิมพระเกียรติพระบาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสทรงครองราชย์ ปีที่ 50 ขึ้น โดยคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2537 กำหนดให้ดำเนินการตั้งแต่ปี พ.ศ. 2537 – พ.ศ. 2539มีเป้าหมายให้ปลูกป่าในพื้นที่อนุรักษ์ที่เสื่อมโทรม 5 ล้านไร่ รวมทั้งพื้นที่นอกเขตป่าอนุรักษ์ด้วยการดำเนินโครงการฯ ในระยะนี้ เนื่องจากผู้ร่วมโครงการฯ ยังมีประสบการณ์ปลูกป่าน้อย และช่วงระยะเวลาในการดำเนินงานสั้นเกินไปจึงดำเนินงานไม่ได้ครบตามเป้าหมายที่กำหนดไว้จึงได้มีการขยายระยะเวลาของโครงการฯ ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่16 กันยายน 2540 ให้ขยายเวลาออกไปตั้งแต่ปีพ.ศ. 2540 – พ.ศ.2545 เป็นระยะที่ 2 ซึ่งในระยะนี้ เป็นช่วงเวลาที่ประเทศประสบภาวะเศรษฐกิจอย่างรุนแรงทำให้ผู้ร่วมโครงการฯ จำนวนมากชลอหรือหยุดการดำเนินการปลูกป่า เมื่อสิ้นระยะที่ 2 จึงดำเนินการปลูกป่าพื้นที่ป่าอนุรักษ์ไปได้ประมาณ 3.4 ล้านไร่ ยังขาดอยู่อีกประมาณ 1.6 ล้านไร่ จึงจะครบเป้าหมายที่กำหนดไว้ 5 ล้านไร่ สำหรับพื้นที่นอกเขตป่าอนุรักษ์ดำเนินงานได้ครบถ้วนตามเป้าหมายที่กำหนดไว้แล้ว รัฐบาลได้เห็นถึงความสำคัญของโครงการฯ นี้ประกอบกับสภาพเศรษฐกิจได้ฟื้นคืนสภาวะปกติคณะรัฐมนตรีจึงได้มีมติ วันที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2545 ให้ขยายระยะเวลาโครงการฯ ต่อไปเป็นระยะที่ 3 ตั้งแต่ พ.ศ. 2546 – พ.ศ. 2550เป็นเวลา 5 ปี โดยมีป้าหมายดำเนินงานปลูกป่าในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ที่เสื่อมโทรมตามโครงการฯ นี้ ให้ได้อีก 1.6 ล้านไร่เป็นอย่างน้อย เพื่อให้ครบถ้วนตามเป้าหมาย 5 ล้านไร่ แล้วนำน้อมเกล้าฯ ถวายแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ต่อไปวัตถุประสงค์ของโครงการ 1. เพื่อขยายพื้นที่ที่ปกคลุมด้วยป่าไม้ โดยการปลูกไมพื้นเมืองในพืนที่ป่าอนุรักษ์ที่เสื่อมโทรม ให้ได้ 5 ล้านไร่ 2. เพื่อให้ประชาชนฃาวไทยทุกหมู่เหล่า ได้มีโอกาสเป็นส่วนหนึ่งในการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เนื่องในวโรกาสทรงครองราชย์ปีที่ 50 และดูแลต้นไม้ที่ปลูกอย่างถาวรด้วยความรัก 3. เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับประชาชนชาวไทยให้ตระหนักถึงความสำคัญของทรัพยากรป่าไม้และการอนุรักษ์ให้ทรัพยากรป่าไม้คงอยู่อย่างยั่งยืนระยะเวลาดำเนินงานโครงการฯ - ระยะที่ 1 - ระยะที่ 2 - ระยะที่ 3 ทำการปลูกป่าและฟื้นฟูสภาพป่าตามธรรมชาติในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ที่มีสภาพเสื่อมโทรมให้ได้ตามเป้าหมายจำนวน5 ล้านไร่ โดยมีระยะเวลาดำเนินงาน โครงการฯ ในระยะที่ 3 พ.ศ.2546 – 2550 รวม 5 ปีการเข้าร่วมโครงการฯ ปี พ.ศ. 2547 คณะรัฐมนตรี มีมติให้ดำเนินการโครงการปลูกป่าถาวรเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เนื่องในวโรกาสทรงครองราชย์ปีที่ 50 ระยะที่ 3 (พ.ศ. 2546 – 2550) ในการนี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้มอบหมายให้กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน ดำเนินการ จำนวน1,000 ไร่การเข้าร่วมโครงการ ผู้เข้าร่วมโครงการฯ ที่ต้องการบริหารและดำเนินการปลูกป่าเองให้แสดงความจำนงจองพื้นที่ ปลูกป่าจากกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์และพรรณพืฃ หรือสำนักบริหารจัดการในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ในพื้นที่เพื่อทำการปลูกและบำรุงรักษาด้วยตนเอง หรือจัดจ้าง ผู้แทนเข้าดำเนินการในอัตรา 3,000 บาท /ไร่ (ค่าปลูกป่าจำนวน 2,000 บาทค่าบำรุงรักษาอีก 2 ปี ปีละ 500 บาท) โดยกรมอุทยานแห่งชาติฯ สนับสนุนกล้าไม้ ให้คำแนะนำทางด้านวิชาการและอำนวยความสะดวกด้านต่างๆที่จำเป็นตลอดระยะเวลา 3 ปี ผู้เข้าร่วมโครงการฯ ที่ไม่ประสงค์ปลูกป่าเองสามารถบริจาคเงินสมทบกองทุนปลูกป่าตั้งแต่ 1 บาทขึ้นไปในกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพรรณพืช นำเงินจากกองทุนไปจ้างผู้อื่นดำเนินการปลูกป่าและบำรุงป่า ตลอดระยะเวล 3 ปี